บทที่๘ ลักษณะของละครนอก
ลักษณะของละครนอก
ละครนอก มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
เป็นละครที่แสดงกันนอกราชธานี แต่เดิมคงมาจากการละเล่นพื้นเมือง และร้องแก้กัน
แล้วต่อมาภายหลังจับเป็นเรื่องเป็นตอนขึ้น เป็นละครที่ดัดแปลงวิวัฒนาการมาจากละคร
"โนห์รา" หรือ "ชาตรี" โดยปรับปรุงวิธีแสดงต่างๆ
ตลอดจนเพลงร้อง และดนตรีประกอบให้แปลกออกไป
ผู้แสดง
ในสมัยโบราณจะใช้ผู้ชายแสดงล้วน
ผู้แสดงจะต้องมีความคล่องแคล่วในการรำ และร้อง
มีความสามารถที่จะหาคำพูดมาใช้ในการแสดงได้อย่างทันท่วงทีกับเหตุการณ์
เพราะขณะแสดงต้องเจรจาเอง
การแต่งกาย
ในขั้นแรกตัวละครแต่งตัวอย่างคนธรรมดาสามัญ
เป็นเพียงแต่งให้รัดกุมเพื่อแสดงบทบาทได้สะดวก
ตัวแสดงบทเป็นตัวนางก็นำเอาผ้าขาวม้ามาห่มสไบเฉียง
ให้ผู้ชมละครทราบว่าผู้แสดงคนนั้นกำลังแสดงเป็นตัวนาง
ถ้าแสดงบทเป็นตัวยักษ์ก็เขียนหน้าหรือใส่หน้ากาก ต่อมามีการแต่งกายให้ดูงดงามมากขึ้น
วิจิตรพิสดารขึ้น เพราะเลียนแบบมาจากละครใน บางครั้งเรียกการแต่งกายลักษณะนี้ว่า
"ยืนเครื่อง"
เรื่องที่แสดง
แสดงได้ทุกเรื่องยกเว้น ๓ เรื่อง คือ อิเหนา
อุณรุฑ และรามเกียรติ์ บทละครที่แสดงมีดังนี้ คือ สมัยโบราณ มีบทละครนอกอยู่มากมาย
แต่ที่มีหลักฐานปรากฏมีเพียง ๑๔ เรื่อง คือ การะเกด คาวี ไชยทัต พิกุลทอง
พิมพ์สวรรค์ พิณสุริยวงศ์ มโนห์รา โม่งป่า มณีพิชัย สังข์ทอง สังข์ศิลป์ชัย
สุวรรณศิลป์ สุวรรณหงส์ และโสวัต สมัยรัตนโกสินทร์
มีบทพระราชนิพนธ์ละครนอกในรัชกาลที่ ๒ อีก ๖ เรื่อง คือ สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ ไกรทอง
มณีพิชัย คาวี และสังข์ศิลป์ชัย (สังข์ศิลป์ชัย เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๓
เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ โดยรัชกาลที่ ๒ ทรงแก้ไข)
การแสดง
มีความมุ่งหมายในการแสดงเรื่องมากกว่าความประณีตในการร่ายรำ
ฉะนั้นในการดำเนินเรื่องจะรวดเร็ว ตลกขบขัน
ไม่พิถีพิถันในเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี การใช้ถ้อยคำของผู้แสดง มักใช้ถ้อยคำ
"ตลาด" เป็นละครที่ชาวบ้านเรียกกันเป็นภาษาธรรมดาว่า
"ละครตลาด" ทั้งนี้เพื่อให้ทันอกทันใจผู้ชมละคร
ดนตรี
มักนิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า
ก่อนการแสดงละครนอก ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรงเย็น เป็นการเรียกคนดู
เพลงโหมโรงเย็นประกอบด้วย เพลงสาธุการ ตระ รัวสามลา เข้าม่าน ปฐม และเพลงลา
เพลงร้อง
มักเป็นเพลงชั้นเดียว หรือเพลง ๒ ชั้น
ที่มีจังหวะรวดเร็ว มักจะมีคำว่า "นอก" ติดกับชื่อเพลง เช่น
เพลงช้าปี่นอก โอ้โลมนอก ปีนตลิ่งนอก ขึ้นพลับพลานอก เป็นต้น มีต้นเสียง และลูกคู่
บางทีตัวละครจะร้องเอง โดยมีลูกคู่รับทวน มีคนบอกบทอีก ๑ คน
สถานที่แสดง
โรงละครเป็นรูปสี่เหลี่ยมดูได้ ๓ ด้าน (เดิม)
กั้นฉากผืนเดียวโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามท้องเรื่อง มีประตูเข้าออก ๒ ทาง
หน้าฉากตรงกลางตั้งเตียงสำหรับตัวละครนั่ง
ด้านหลังฉากเป็นส่วนสำหรับตัวละครพักหรือแต่งตัว
ความเเตกต่างระหว่างละครนอกกับละครใน
ละครนอกนั้นแต่ก่อนมีอยู่หลายคณะ
ต่างคณะต่างออกรับจ้างเล่นละครตาม งานต่างๆ สุดแล้วแต่จะมีผู้หา
เพราะฉะนั้นบทละครนอกจึงคงมีอยู่ด้วยกันทุกคณะ เป็นสำนวนที่แตกต่างกันสุดแล้วแต่ใครจะแต่งบทให้ถูกใจคนดูได้มากเพื่อแข่งขันกัน
เรื่องที่ได้นำมาแต่งเป็นบทละครนอกนั้นมีอยู่หลายเรื่องและมากกว่าเรื่องที่ใช้แสดง
ละครใน เช่น เรื่องสังข์ทอง เรื่องมณีพิชัย เรื่องคาวี เรื่องไชยเชฐ เรื่องพระสุธน
มโนห์รา เรื่องสังข์ศิลป์ชัย และเรื่องพระรถ เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเรื่องละครนอก อื่นๆ อีกมาก
ซึ่งบัดนี้ได้สาบสูญไปแล้วในกาลเวลาอันยาวนานแห่งอดีต เรื่องละครนอก
เหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากนิทานในศาสนาพุทธ คือ ปัญญาสชาดก หรือนิทานชาดกห้าสิบ เรื่อง
ซึ่งพระเถระในภาคเหนือได้รวบรวมเอานิยายพื้นเมืองมาแต่งในรูปชาดกเมื่อ
หลายร้อยปีมาแล้ว นิทานชาดกห้าสิบเรื่องนี้เคยเป็นที่นิยมมากของคนไทยในทุกภาค
จึงได้นำมาแต่งเป็นบทละครนอกและใช้ในการแสดงต่อมา
ดังได้กล่าวแล้วว่าบทละครในนั้นนับได้ว่าเป็นวรรณคดีของชาติทุกเรื่อง
ว่าโดย ทั่วไปแล้วบทกลอนของบทละครในจะไพเราะประณีตยิ่งกว่าละครนอก และในเวลา
แสดงก็จะมีการร้องเป็นระยะเวลานานๆ ตามบทซึ่งแต่งไว้ยาว
เพราะผู้ดูเป็นผู้ที่อยู่ใน ระเบียบแบบแผน ประเพณี มีมารยาทดี
สามารถจะนั่งฟังเพลงที่ไพเราะและชมบทรำ ที่เชื่องช้าประณีตได้
แต่ชาวบ้านทั่วไปที่ต้องทำมาหากินเห็นจะรอไม่ได้ บทละครนอกจึง มักจะสั้นกว่า
และตรงไปตรงมายิ่งกว่าบทละครใน แต่ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดนั้น ก็คือ
ละครในเล่นอยู่เพียงสามเรื่อง คือ เรื่องอุณรุท รามเกียรติ์และอิเหนาเท่านั้น ใน
ทั้งสามเรื่องนี้ท้าวพระยามหากษัตริย์เป็นตัวเอกทั้งสิ้น และบทละครก็แต่งไปในทาง
ยกย่องส่งเสริมท้าวพระยามหากษัตริย์ที่เป็นตัวเอกนั้น
ไม่มีตอนใดเลยในบทละครในที่จะ
ทำให้มองไปเห็นว่าหมิ่นหรือเห็นท้าวพระยามหากษัตริย์เป็นตัวตลก เป็นการยกย่องสรร
เสริญโดยตลอดเพราะเป็นละครที่เล่นในพระราชฐาน แต่ละครนอกที่ชาวบ้านเขาเล่น
ดูกันนั้น ท้าวพระยามหากษัตริย์เป็นตัวตลกทั้งสิ้น ไม่มีความดีอะไรเลย
ขี้ขลาดตาขาว สารพัด ท้าวสามลในเรื่องสังข์ทองก็เป็นตัวตลก
ท้าวเสนากุฎในเรื่องสังข์ศิลป์ชัยก็เป็น ตัวตลก
ท้าวสันนุราชในเรื่องคาวีก็เป็นตัวตลก ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินแล้วบทละคร
นอกเขียนให้เป็นตัวตลกหมด และแม้แต่บทละครนอกซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์โดยรักษาลักษณะของละครนอก
ไว้ครบถ้วน
บทละครนอกจึงแสดงให้เห็นสิ่งหนึ่งได้ชัดเจน
คือชี้ให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของคน
ไทยไว้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นคนที่ไม่นิยมนับถืออำนาจที่ปกครองแผ่นดินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ใครเป็นรัฐบาลคนไทยจะต้องวิจารณ์ว่าไม่ดีทั้งสิ้น และไม่นับถือ
ที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า anti-establishment และดูจากบทละครนอกก็จะเห็นได้ว่าคนไทยคงจะเป็นเช่นนี้มานานแล้ว
ที่มา: https://sites.google.com/site/thai044ssru/wicha-hlak-phasa/bth-thi-4-laksna-kha-praphanth